| พระมาลัย เยี่ยมเมืองนรก
ณ ตามพปัณณิทวีป ซึ่งปัจจุบันคือเกาะลังกา มีพระเถระองค์หนึ่งชื่อ "พระมาลัย" ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีบุญญานุภาพ และฤทธิ์เดชเกริกไกร มีเกียรติคุณแผ่ไพศาล เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในทวีปนี้
พระมาลัยอาศัยบ้านกัมโพชะ ซึ่งเป็นชนบทเล็กๆ เป็นที่โคจรบิณฑบาต และอยู่จำพรรษามาเป็นเวลาช้านาน ท่านมีอุปการคุณแก่บรรดามนุษย์ ในหมู่บ้านแห่งนี้มาก โดยนอกจากจะเป็นเนื้อนาบุญให้ชาวบ้าน ได้ทำบุญสุนทานกันแล้ว ท่านยังเข้าฌาณสมาบัติชำแรกแผ่นดินไปเมืองนรกบ่อยๆ และทุกครั้งที่ท่านไปถึง ท่านจะสำแดงฤทธิ์บันดาลไฟที่กำลังลุกโชนโชติช่วง เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่อย่างบ้าคลั่งนั้นให้ดับ พร้อมกับให้ฝนเทลงมาตกต้องร่างแสนจะร้อนเร่าจนเกือบจะสุกเกรียมของสัตว์ผู้ยาก เป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็บันดาลลมให้กระพือพัดต้นงิ้วและภูเขาไฟ รวมทั้งอีกาปากเหล็กทั้งหลาย ให้กระจัดกระจายพลัดพรายไปจนหมด เสร็จแล้วบันดาลให้น้ำที่กำลังเดือดพล่านในกระทะทองแดง กลายเป็นน้ำเย็น และมีรสหวานปานน้ำผึ้ง ให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้นได้ดื่มกินกันอย่างสำราญ ต่อจากนั้นก็แสดงธรรมโปรดให้เป็นที่เอิบอาบซาบซึ้งใจทั่วกัน พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้ว ต่างพากันยกมือไหว้แล้วร้องสั่งท่านว่า
"พระคุณเจ้าขอรับ ได้โปรดเวทนาพวกข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปถึงโลกมนุษย์แล้ว ขอได้แวะไปบ้านนั้น เมืองนั้น บอกญาติของข้าพเจ้าชื่อนั้น ให้เร่งทำบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถอะ ข้าพเจ้าจะได้พ้นกรรมเร็วๆ เจ้าข้า"
ฝ่ายพระมาลัยครั้นกลับมาถึงโลกมนุษย์ ก็นำความตามที่สัตว์นรกพวกนั้นสั่งมาบอกแก่ ญาติ พี่ น้อง ตามตำบลที่ระบุไว้ทุกประการ บรรดาญาติ ครั้นได้ฟังท่านบอก ก็ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ โดยไม่รั้งรอ สัตว์นรกผู้เสวยกรรม เมื่อได้อนุโมทนาส่วนกุศลแล้ว ก็พ้นกรรมไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์เป็นที่สำราญในทันที.......
|
พระมาลัยบทสวดสังคหะแปล(อินทรวิเชียรฉันท์)พระมาลัย
วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
บทสวดมนต์ พระมาลัยสูตร
พระมาลัย/บทสวดสังคหะ(แปล-อินทรวิเชียรฉันท์)
พระมาลัย(บทสวดสังคหะ-แปล)
ของโบราณถ่ายทอดจากหลวงตาแสง
วัดราษฎร์บำเพ็ญ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา(9กย2510)
ตรวจสอบทานสำนวน แล้วโดย ฐีติญาโณภิกขุ ปรากฏว่าเป็นสำนวนของพระอาจารย์สิงห์
ขันธยาคโม นั่นเอง…….
ปฐโมปริเฉโท
นโมตัสสะ รหันตัสสะ ภควันตัส สสัตถุโน สัมมาสัมพุทธัส สมายัตโถ โลกะเชตทัส สตะทิโน ฯลฯ
(ว่า 3 หน )
สัมมา สัมพุทธะมะตุลัง สสัทธัมมะ คณุตตะมัง อภิวาทิยภาสิสสัง อภิธัมมัตถ สังคหัง ฯลฯ
ตัตถวุตตา ภิธัมมัตถา จตุธา ปร มัตถโต จิตตังเจต สิกังรูปัง นิพพานนะมี ติ สัพพทา ฯลฯ
อัฏฐธาโล ภมูลานิ โทสะมูลา นิจทะวิทา โมหะมูลา นิจธะเวติ ทวาทสา กุสลาสิยุง
สัตตากุสะ ลาปากานิ ปุญญะปากา นิอัฏฐธา กริยาจิตตา นิตีนีติ อัฏฐารสะ อเหุกา
ปาปาเหตุ กมุตตานิ โสภนานี ติวุจจะเร ฯลฯ
เอกูนะสัฏ ฐิจิตตานิ อเภกะนะ วุติปิวา เวทนาญา ณะสังขาระ เภเทนะจะ ตุวีสะติ
สเหตุกา มาวะจระ ปุญญะปากะ กริยามตา กาเมเตวี สปากานิ ปุญญาปุญญา นิวีสติ
เอกาทสะ กริยาเจติ จตุปัญญา สสัพพถา ฯลฯ
ปัญจธาฌา นเภเทนะ รูปาวจะ รมานะสัง ปุญญะปากะ กริยาเภทา ตังปัญจทะ สทาภเว ฯลฯ
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถะสังคเห ปฐโม ปจริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
อินทรวิเชียรฉันท์ปริเฉท
โอ้โอ๋อนิจจา สังขาราไม่เที่ยงตรง หนุ่มแก่ย่อมจักปลง ชีวิตม้วยอย่าสงกา……
อุบัติเกิดแล้วก็กลับ วิญญาณดับจากสรีรา ขาดสิ้นแห่งปาณา วิการกายก็เป็นไป…….
บ่เที่ยงบ่ทนทาน บ่อยู่นานสักเพียงใด ย่อมเสื่อมย่อมสิ้นไป ทุกคณานิกรชน……..
สิ่งสุขอันประเสริฐ สุขล้ำเลิศสถาผล คือจิตอย่ากังวล เป็นกามคุณา………
ดับสนิทในสังขาร ที่จิตสร้านคือตัณหา ไม่ใครในภวา วิภาวะประเสริฐแล ฯลฯ
อิจจนุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถะสังคเห ปฐโม ปจริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ทุติโยปริเฉโท
เอกุปปาทะ นิโรธาจะ เอกาลัมภะ ณวัตถุกา เจโตยุตตา ทวีปัญญาสะ ธัมมาเจตะ สิกามะตา
เตเรสัญญะ สมานาจะ จุททะสากุ สราตถา โสภนาปัญ จวีสาติ ทวิปัญญา สปวุจจเร
เตสังจิตตา วิยุตตานัง ยถาโยคัง ปวุจจะติ จิตตุปปาเท สุปัจเจกัง สัมปโยโค ปกิณณกา
จุททะสากุ สเรสเวระ โสภเนเสววะ โสภนา ฉสัฏฐิปัญ จปัญญาสะ เอกาทะสะ จะโสระสะ
สัตตะติวี สติเจวะ ปกิณณกะ วิวัชชิตา ปัญจะปัญญาสะ ฉสัตฐิยัต ฐสัตตะติ ติสัตตะติ
เอกะปัญญา สเจกูนะ สัตตะติงสัพ ปกิณณกา สัพพาปุญเญ สุจัตตาโร สสังขาเร พวยันตถา
วิจิกิจฉา วิจิตฉา จิตเตจาติ จตุสชะสะ ทวาทสา กุสเลสเววะ สัมปยุตชัน ติปัญจทา ฯลฯ
โอ้กายไม่นานหนอ บังเกิดต่อแล้วกลับกลาย ดุจฟองแห่งน้ำหมาย ย่อมแตกดับโดยฉับพลัน….
สิ้นลมแห่งหายใจ ชีพบัลลัยบ่กลับหัน ห่อนมีสิ่งสำคัญ เพื่อประโยชน์สักนิดเดียว…….
ทอดทิ้งดุจท่อนฟืน เหนือพื้นสุธาเทียว ฟองช้ำเน่าดำเขียว ส่งกลิ่นฟุ้งบ่เว้นวาย…….
ดูเถิดท่านทั้งหลาย บุรุษนายคณานาง ควรปลงปัญญาทาง ประมัตอัตถธรรม…….
พยานปรากฏแก่ จักษุแท้บ่ปิดงำ ควรวินิจหีบศพ ศพนั้นอันแลเห็น ฯลฯ
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถะสังคเห ทุติโยปจริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ตติโยปริเฉโท
สัมปยุตตา ยถาโยคัง เตปัญญาสะ สภาทะโต จิตตะเจตะ สิกาธัมมา เตสันทานิ ยถารหัง
เวทนาโห ตุโตกิจจะ ทวาราลัมภะ ณวัตถุโต จิตตุปปาทะ วเสเนวะ สังคโหนา มหิยเต ฯลฯ
สุขขังทุกขะ มเปกขาติ ติวิชาตัต กเวทนา โสมนัสสัง โทมนัสสัง อิติเภเท นปัญจทา
สุขะเมกัต ถทุกขัญจะ โทมนัสสัง ถวเยฐิตัง ทวาสัฏฐี สุโสนะสัง ปัญจปัญญา สเกตะรา
โลโภโทโส จะโมโหจะ เหตุอะกุ สราตโย อโรภาโท สาโมหาจะ กุสะภพยา กตาตถา
อเหตุกัจ ฐาฬะเสกะ เหตุกทเว ทวิวีสาติ ทุเหตุกา มตาสัตตะ จัตตาฬิสะ ติเหตุกา
ปฏิสันทา ทโยนามะ กิจจะเมเท นจุตธะสะ ทสะธาฐา นเภเทนะ จิตตุปปาทา ปกาสิกา
อัฏสัตฐี ตถาเทวจะ นวัฏฐเทวะ ยถากกะมัง เอกะฉวีติ จตุปัญจะ กิจจาถานา นิมิททิเส ฯลฯ
ชีวิตความเป็นอยู่ ใครหนอรู้กำหนดการ เพียงแต่จะประมาณ เร็วก็ช้าก่อนหน้าหลัง……..
ความตายบ่เลือกหน้า กษัตราพรหมะณัง มีจนชนทุพลัง และเรืองฤทธิ์อิสสะโร……..
หรือใครจะโกรธกริ้ว ชักหน้านิ่วมุโมโห หรืออ่อนหย่อนกาโย น้อมคำนับอัพภิวันท์……
หรือให้แก้วแหวนเงินทอง เป็นก่ายกองมากครามครัน
หรืออ้อนวอนจำนรรจ์ ด้วยคำหวานสมานใจ……..
มัตยุราชไป่ยำเยง แลบ่เกรงผู้ใดใด ไป่รับคำนับใคร แลบ่เอื้อบ่กรุณณัง……..
ถึงคราวแล้วเร่งรีบ เข้าคั้นบีบดวงชีวัง ดุจนายเพชฌฆาตฟัง คำบัญชาไม่รารอ……..
ลงดาบโดยทันใด ฟันลงไปที่ตรงศอ เชือดซ้ำกระหน่ำคอ แห่งนักโทษก็ปานกัน ฯลฯ……
จตุตโถปริเฉโท
จิตตุปปาทา นมิเจวัง กัตตะวาสัง คมุตตะรัง ภูมิปุคคะ ละเภเทนะ ปุพพาประ นิยามิตัง
ปวัตติสัง คหังนามะ ปฏิสันทิ ประวัตติยัง ปวักขามิ สมาเสนะ ยถาลัมภะ วโตกะถัง
วิถิจิตตา นิสัชเตวะ จิตตุปปาทา จตุทะสะ จตุปัญญา สวิตถารา ปัญจทวาเร ยถารหัง
วิถีจิตา นิติเนวะ จิตตุปปาทา ทเสวิตา วิตถาเรนะ ปเนตเถกะ จัตตาฬิสะ วิภาวเย
ทวัตติงสะ สุขปุญญังหา ทวาทโส เปกขกาปรัง ขกาปรัง สุขิตะกิริ ยาโตอัตฐิ
ฉสัมโพนติ อุเปกคกา ปุถุชชะนา นเสขานัง กามะปุญญะ ติเหตุโต ติเหตุกา มกิริยาโต
วีตะราคา นมังบปนา กาเมชะวะ นสัตตาลัมภ์ ภนานังนิ ยเมสติ วิภูเตติ มหันเตจะ
ตทาลัมภะ นมีริตัง สัตตะขัตตุง ประตานิ มัคคาภิญญา สกิงมตา อวเสนา นิรัพพันติ
ชวนานิ พหูนิปิ อเสขานัง จตุจัสตา ฬีสะเสขา นมุททิเส ฯลฯ
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห ฯลฯ
จตุตโถปริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
โอ้สัตว์ทั้งหลายเกิด เอากำเนิดมาเป็นคน ย่อมจะบันลุตน มลชีพทำลายราน…….
หรือสัตว์ที่ตายอยู่ อีกสัตว์ผู้ที่วายปราณ ก็ไม่ยืดไม่ยืนนาน เหมือนกันสิ้นบ่เว้นวาย….
แม้เราก็ฉันนั้น บ่ผิดผันหรือกลับกลาย เราคงจะต้องตาย ตามไปดุจพิมพ์เดียว…….
เออเราไม่สงสัย ไม่ตกใจแลหวาดเสียว เห็นแท้แน่ใจเจียว แลบ่มีที่สงกา……..
นี่แหละท่านทั้งหลาย ฟังบรรยายที่กล่าวมา จงเร่งพิจารณา เมื่อแจ้งแล้วบ่กลัวตาย…….
ปัญจโมปริเฉโท
วิถีจิตะ วเสเนวะ ปวัตติยะ มุทีโรโต ปวัตติสัง คโหนามะสฐิยนทา นิวุจจะติ
จตัตโสกุ มิโยนามะ ยัตถะสันธิ ปวัตตะติ อปายกา มสุคตโย รูปารูโป จภปิจะ
ปถุชชะนา นรับมันติ สุทธาวาเส ตุสัพพทา โสตาปะญนา จสะกิทา คามิโนจา
ปิปุคคะลา อริยาโน ปิลัมภันติ อสันยาปา ยภูมิสุ เสสัตถาเน สุรัพพันติ อริยานะ
ริยาปิวะ จตุภูมี วิภาเคนะ ปฏิสันธิ จตุปมิทา อปายิกา สังนะนามะ สุคะติมหิ
สยาปิจะ รูโปจรา ปฏิสันธิ อรูโปจะ รสันธิจะ ชายันตาปา ยภูมิสุข ปาปะปากะ
ยสันธิยา นิปุญญะปากา เหตุเกนะ ภูมัสสิตัพ พินิปปาตา กามะเทวะ มนุสานัง
ทุเหตุกะ ติเหตุนัง ฯลฯ
ความที่ได้เกิดยากนักหนา และตัวของเต่าตน แอกน้อยลอยล่องชล ใช่ว่าพ้นให้เกิดไป……
ประเภทสัตว์อุบัติตน ทั้งว่ายคลานบินเวหน สุดจะร่ำพรรณาเผ่าพันธุ์ พื้นสัตวาจะนับถ้วน-
ประมวลมี ได้แคล้วคลาดจากโรคี โดยยากจะรอดมา อีกได้ฟังคำพระ สัทธัมมะเทศนา…..
พบองค์พระสัมมา สัมพุทธอรหันต์ นานนับด้วยกัปป์กัลป์ จึงจะตรัสอุบัติมี…….
นี่แหละท่านทั้งหลาย ทั้งผู้ชายและนารี ฟังแล้วเร่งยินดี จงชื่นชมสมมนา……..
ที่ได้เกิดเป็นคน และรอดพ้นจากตายมา ได้ฟังเทศนา ของพระพุทธอรหันต์……..
เป็นลาภอันประเสริฐ แสนล้ำเลิศอนันต์ครัน อย่าหลงคิดสำคัญ ว่าเกิดง่ายหมายผิดครัน ฯลฯ….
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห ฯลฯ
ปัญจโม ปริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ฉัฏฐโมปริเฉโท
เอตาวตา วิภัตตานิ สัพปะเภทัพ ปิวัตติกา จิตตะเจตะ สิกาธัมมา รูปันทานิ ปะวุจจะติ
สมุทเธสา วิภาคาจะ สมุฏฐานา กลาปะโต ปวัตติตักกะ มโตเจติ ปัญจทาตัต ถสังคโห
ภูตัปปะสา ทวิสยา ภาโวหะทะ ยะมิจจะปิ ชีวิตาหา ระรูเปหิ อัตถารสะ วิธังตถา
ปริจเฉโท จะวิญญัตติ วิกาโลลัพ ขนันติจะ อนิพผันนา ทสะเจติ อัฏฐวีสะ วิทัมภเว
อิจเจวะมัต ฐวีสะติ วิธัมปิจะ วิจักขานา อัชฌัตติกา ทิเภเทนะ วิภัชชันติ ยถารหัง
อัฏฐารสะ ปัณณะระสะ เตระสังทวา ทสาปิจะ กัมมะจิตโต ตุกาหาระ ชานิโหนติ ยถากกะมัง
ชายะมานา ทิรูปานัง สภาตตา หิเกวรัง รักขนานิ นชายันติ เกหิจีติ ปกาสิตัง
กัมมะจิตโต ตุกาหาระ สมุฏฐานา ยถากกะมัง นวฉจะ ตุโลเทวติ กราปาเอ กวีสติ
กาลาปานัง ปริเฉทะ ลกขนัตตา วิจักขานา ฯลฯ
ยากมีฉันใด ชีวิตไซร้อุประมา ดุจนายโคปาลา จูงโคชักสู่หลักพลัน…….
ก้าวไปก็ใกล้ถึง ที่คำนึงจะอาสัญ นายโคคาดคอยฟัน ชีวิตม้วยด้วยอาญา…….
ด้วยเราทุกผู้คน ปฏิสนธิเกิดมา คืนวันอันชรา นำยาตรเยื้องเปลืองสิ้นไป……
มัตยุราชคือความตาย ดุจดาบร้ายคมเหลือใจ ห่อนเลือกว่าใครใคร
หนุ่มแก่เด็กและปานกลาง……. เชือดแหวะชำแหละจิต ให้ปลดปลิดชีวาวาง
ทอดทิ้งสรีร่าง ทุกถ้วนหน้าคณาชน ฯลฯ……..
สัตตโมปริเฉโท
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห
ฉฏธโม ปริจเฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ทวาสัตติ วิธาวุตตา วุตถุธัมมา สลักขณา เตสันทานิ ยถารหัง ปวักขามิ สมุททยัง
อาสะโวคา จโยคาจะ ตโยครชา จวุตถุโต อุปาทานา ทุเวธัมมา อัฏฐนีวะ
รณาสิยุง เฉระวานุ สยาโหนติ นวะสัญญโญ ชนามตา
กิเลสาทะเส ติวุตโตยัง นวทาปา ปสังคโห ฉเหตุปัญ จชานังคา มัคคังคานะ
ววัตถุโต โสฬสสันทวี ยธัมมาจะ พระธัมมา นเวริตา
จัตตาโรธิ ปติวุตตา ตถาหารา ติสัทตะทา กุสะราธิ สมากินโน
วุตโตมิจสะ กสังคโห ฯลฯ
ชีวิตเป็นอยู่นั้น ส่วนของมันน้อยนักหนา เพราะเหตุความชรา เร่งเร้ารีบบีบคั้นกาย…….
จะร้องให้ใครช่วย ไม่ให้ม้วยชีวาวาย ญาติมิตรสิ้นทั้งหลาย อีกบิดรและมารดา…….
เมียมิ่งและบุตรรัก อยู่พร้อมพรักทั้งซ้ายขวา มรึตตะยูอาจจู่มา ปลดชีวิตให้ปลิดปลง…..
ดูก่อนท่านทั้งหลาย ที่มุ่งหมายตัดความตรง ให้เร่งคิดจิตจำนง สิ่งใดดีให้เร่งทำ……
ความดีคือบุญนั้น จะป้องกันช่วยแนะนำ ให้สบสุขเลิศล้ำ พ้นสิ่งชั่วไม่กลัวตาย……
อย่าฟังแต่สนุก คิดว่าสุขสบาย รื่นเริงบันเทิงกาย หัวเราะร่าเฮฮาครืน…….
ควรรู้สึกสำนึกตัว อย่าเมามัวคิดฝ่าฝืน ชีวีไม่ยั่งยืน ทุกถ้วนหน้าคณาชน ฯลฯ……..
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคโห
สัตตะโม ปริจเฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ……….
อัฏฐโมปริเฉโท
เยสังสังจะ ตธัมมานัง เยธัมมาปัจ จยายถา ตวิถาคะ มิเหพานิ ปวกุขามิ ยถารหัง
เทวะปติจจะ สมัปปาทะ ปัฏฐานนะ ยเภทิโน วตาตัตกะ นโหนติ เยปัจจะ ยสังคโห
ปฐเมหิ นเยตัตถะ เวทิยังอุ ปลักขานะ ติยัตธังทวา ทสังคานิ วิสาการัง ติสันทิจะ
จตุสังเข ปติวัตตัง เทวัมรานี ติสัตธา ติตถวิชา จสังขารา อตีคันทา ติวุจจะเร ฯลฯ
โลกคือเบญจขันธ์ ชรามันนำเข้าไป ใกล้ต่อความบัลลัย อนาถแท้บ่มั่นคง……..
โลกนะใช่ใหญ่ยิ่ง บ่มีสิ่งต้องประสงค์ จำต้องวายชีวง ของทั้งสิ้นละทิ้งไป…….
โลกนั้นมักพร่องอยู่ จึงไม่รู้เบื่อเบือนไป เพราะมันไม่เป็นไทย มันเป็นธาตุแห่งดับ……..
ควรท่านผู้เป็นปราชญ์ ผู้ฉลาดซึ่งปัญญา เร่งคิดพิจารณา ให้เห็นแท้เป็นแน่นอน…….
อย่าฟังแต่เสียงเพราะ และเสนาะด้วยคำกลอน จงฟังคำสอน แล้วตริตรึกระลึกตาม ฯลฯ…….
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห
อัฏฐโม ปริจเฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
สมากวี ปัสสะนานัง ภวนานะ มิโตปะรัง กัมมัตถานัง ปวักขามิ ทุวิธังปิ ยถากกะมัง
เยนะเยนู ปกะเลสา สมันติวู ปสมันติหิ โสตวูปะ สโมปาโย สะมะโถติ ปวุจจะติ
กสินาสุ ภานุสติ ทสทาทะ สธาฐตา จจัตโสอัป ปมันยาโย สันเยกาหา วนิสีตา
เอกันเจวะ วัตถานาปิ อารูปาจะ ตุโรอิติ สัตตะทาสะ มถะกัมมัต ถานัตสตา วสังคโห
ราโคโทโส จะโมโหจะ สัทธาอิตัก กพุทธิโย อิเมสังฉัน นังธัมมานัง วสาจาริ คสังคโห ฯลฯ
ความไม่เมาทั่วไป คือแจ้งในกองสังขาร ไม่เมาไม่ทะยาน ในรูปรสแลกลิ่นเสียง…..
เป็นทางบทจร สู่อมรนิเวศน์เวียง มัตยุราชหรืออาจเมียง และจะมองบ่แลเห็น…….
ความทั่วไปนั้น คือใฝ่ฝันทุกเช้าเย็น เมายิ่งในสิ่งเบ็ญ- จกามะคณารมณ์……..
เป็นทางจะก้าวสู่ มรึตตะยูประสบสม ความตายตามระดม ติดตามปรับชีวาวาย…….
นรชาติทั้งหลายใด ผู้มีใจเองเมามาย แม้ชีพบ่ทำลาย ประดุจม้วยซึ่งชีวี……..
นี่แหละท่านทั้งหลาย คณาชายหมู่สตรี ฟังแล้วจงได้มี กมลมุ่งกำหนดจำ……
………………..สังคหะ(สงเคราะห์)จบบริบูรณ์……………….
ของโบราณถ่ายทอดจากหลวงตาแสง
วัดราษฎร์บำเพ็ญ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา(9กย2510)
ตรวจสอบทานสำนวน แล้วโดย ฐีติญาโณภิกขุ ปรากฏว่าเป็นสำนวนของพระอาจารย์สิงห์
ขันธยาคโม นั่นเอง…….
ปฐโมปริเฉโท
นโมตัสสะ รหันตัสสะ ภควันตัส สสัตถุโน สัมมาสัมพุทธัส สมายัตโถ โลกะเชตทัส สตะทิโน ฯลฯ
(ว่า 3 หน )
สัมมา สัมพุทธะมะตุลัง สสัทธัมมะ คณุตตะมัง อภิวาทิยภาสิสสัง อภิธัมมัตถ สังคหัง ฯลฯ
ตัตถวุตตา ภิธัมมัตถา จตุธา ปร มัตถโต จิตตังเจต สิกังรูปัง นิพพานนะมี ติ สัพพทา ฯลฯ
อัฏฐธาโล ภมูลานิ โทสะมูลา นิจทะวิทา โมหะมูลา นิจธะเวติ ทวาทสา กุสลาสิยุง
สัตตากุสะ ลาปากานิ ปุญญะปากา นิอัฏฐธา กริยาจิตตา นิตีนีติ อัฏฐารสะ อเหุกา
ปาปาเหตุ กมุตตานิ โสภนานี ติวุจจะเร ฯลฯ
เอกูนะสัฏ ฐิจิตตานิ อเภกะนะ วุติปิวา เวทนาญา ณะสังขาระ เภเทนะจะ ตุวีสะติ
สเหตุกา มาวะจระ ปุญญะปากะ กริยามตา กาเมเตวี สปากานิ ปุญญาปุญญา นิวีสติ
เอกาทสะ กริยาเจติ จตุปัญญา สสัพพถา ฯลฯ
ปัญจธาฌา นเภเทนะ รูปาวจะ รมานะสัง ปุญญะปากะ กริยาเภทา ตังปัญจทะ สทาภเว ฯลฯ
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถะสังคเห ปฐโม ปจริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
อินทรวิเชียรฉันท์ปริเฉท
โอ้โอ๋อนิจจา สังขาราไม่เที่ยงตรง หนุ่มแก่ย่อมจักปลง ชีวิตม้วยอย่าสงกา……
อุบัติเกิดแล้วก็กลับ วิญญาณดับจากสรีรา ขาดสิ้นแห่งปาณา วิการกายก็เป็นไป…….
บ่เที่ยงบ่ทนทาน บ่อยู่นานสักเพียงใด ย่อมเสื่อมย่อมสิ้นไป ทุกคณานิกรชน……..
สิ่งสุขอันประเสริฐ สุขล้ำเลิศสถาผล คือจิตอย่ากังวล เป็นกามคุณา………
ดับสนิทในสังขาร ที่จิตสร้านคือตัณหา ไม่ใครในภวา วิภาวะประเสริฐแล ฯลฯ
อิจจนุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถะสังคเห ปฐโม ปจริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ทุติโยปริเฉโท
เอกุปปาทะ นิโรธาจะ เอกาลัมภะ ณวัตถุกา เจโตยุตตา ทวีปัญญาสะ ธัมมาเจตะ สิกามะตา
เตเรสัญญะ สมานาจะ จุททะสากุ สราตถา โสภนาปัญ จวีสาติ ทวิปัญญา สปวุจจเร
เตสังจิตตา วิยุตตานัง ยถาโยคัง ปวุจจะติ จิตตุปปาเท สุปัจเจกัง สัมปโยโค ปกิณณกา
จุททะสากุ สเรสเวระ โสภเนเสววะ โสภนา ฉสัฏฐิปัญ จปัญญาสะ เอกาทะสะ จะโสระสะ
สัตตะติวี สติเจวะ ปกิณณกะ วิวัชชิตา ปัญจะปัญญาสะ ฉสัตฐิยัต ฐสัตตะติ ติสัตตะติ
เอกะปัญญา สเจกูนะ สัตตะติงสัพ ปกิณณกา สัพพาปุญเญ สุจัตตาโร สสังขาเร พวยันตถา
วิจิกิจฉา วิจิตฉา จิตเตจาติ จตุสชะสะ ทวาทสา กุสเลสเววะ สัมปยุตชัน ติปัญจทา ฯลฯ
โอ้กายไม่นานหนอ บังเกิดต่อแล้วกลับกลาย ดุจฟองแห่งน้ำหมาย ย่อมแตกดับโดยฉับพลัน….
สิ้นลมแห่งหายใจ ชีพบัลลัยบ่กลับหัน ห่อนมีสิ่งสำคัญ เพื่อประโยชน์สักนิดเดียว…….
ทอดทิ้งดุจท่อนฟืน เหนือพื้นสุธาเทียว ฟองช้ำเน่าดำเขียว ส่งกลิ่นฟุ้งบ่เว้นวาย…….
ดูเถิดท่านทั้งหลาย บุรุษนายคณานาง ควรปลงปัญญาทาง ประมัตอัตถธรรม…….
พยานปรากฏแก่ จักษุแท้บ่ปิดงำ ควรวินิจหีบศพ ศพนั้นอันแลเห็น ฯลฯ
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถะสังคเห ทุติโยปจริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ตติโยปริเฉโท
สัมปยุตตา ยถาโยคัง เตปัญญาสะ สภาทะโต จิตตะเจตะ สิกาธัมมา เตสันทานิ ยถารหัง
เวทนาโห ตุโตกิจจะ ทวาราลัมภะ ณวัตถุโต จิตตุปปาทะ วเสเนวะ สังคโหนา มหิยเต ฯลฯ
สุขขังทุกขะ มเปกขาติ ติวิชาตัต กเวทนา โสมนัสสัง โทมนัสสัง อิติเภเท นปัญจทา
สุขะเมกัต ถทุกขัญจะ โทมนัสสัง ถวเยฐิตัง ทวาสัฏฐี สุโสนะสัง ปัญจปัญญา สเกตะรา
โลโภโทโส จะโมโหจะ เหตุอะกุ สราตโย อโรภาโท สาโมหาจะ กุสะภพยา กตาตถา
อเหตุกัจ ฐาฬะเสกะ เหตุกทเว ทวิวีสาติ ทุเหตุกา มตาสัตตะ จัตตาฬิสะ ติเหตุกา
ปฏิสันทา ทโยนามะ กิจจะเมเท นจุตธะสะ ทสะธาฐา นเภเทนะ จิตตุปปาทา ปกาสิกา
อัฏสัตฐี ตถาเทวจะ นวัฏฐเทวะ ยถากกะมัง เอกะฉวีติ จตุปัญจะ กิจจาถานา นิมิททิเส ฯลฯ
ชีวิตความเป็นอยู่ ใครหนอรู้กำหนดการ เพียงแต่จะประมาณ เร็วก็ช้าก่อนหน้าหลัง……..
ความตายบ่เลือกหน้า กษัตราพรหมะณัง มีจนชนทุพลัง และเรืองฤทธิ์อิสสะโร……..
หรือใครจะโกรธกริ้ว ชักหน้านิ่วมุโมโห หรืออ่อนหย่อนกาโย น้อมคำนับอัพภิวันท์……
หรือให้แก้วแหวนเงินทอง เป็นก่ายกองมากครามครัน
หรืออ้อนวอนจำนรรจ์ ด้วยคำหวานสมานใจ……..
มัตยุราชไป่ยำเยง แลบ่เกรงผู้ใดใด ไป่รับคำนับใคร แลบ่เอื้อบ่กรุณณัง……..
ถึงคราวแล้วเร่งรีบ เข้าคั้นบีบดวงชีวัง ดุจนายเพชฌฆาตฟัง คำบัญชาไม่รารอ……..
ลงดาบโดยทันใด ฟันลงไปที่ตรงศอ เชือดซ้ำกระหน่ำคอ แห่งนักโทษก็ปานกัน ฯลฯ……
จตุตโถปริเฉโท
จิตตุปปาทา นมิเจวัง กัตตะวาสัง คมุตตะรัง ภูมิปุคคะ ละเภเทนะ ปุพพาประ นิยามิตัง
ปวัตติสัง คหังนามะ ปฏิสันทิ ประวัตติยัง ปวักขามิ สมาเสนะ ยถาลัมภะ วโตกะถัง
วิถิจิตตา นิสัชเตวะ จิตตุปปาทา จตุทะสะ จตุปัญญา สวิตถารา ปัญจทวาเร ยถารหัง
วิถีจิตา นิติเนวะ จิตตุปปาทา ทเสวิตา วิตถาเรนะ ปเนตเถกะ จัตตาฬิสะ วิภาวเย
ทวัตติงสะ สุขปุญญังหา ทวาทโส เปกขกาปรัง ขกาปรัง สุขิตะกิริ ยาโตอัตฐิ
ฉสัมโพนติ อุเปกคกา ปุถุชชะนา นเสขานัง กามะปุญญะ ติเหตุโต ติเหตุกา มกิริยาโต
วีตะราคา นมังบปนา กาเมชะวะ นสัตตาลัมภ์ ภนานังนิ ยเมสติ วิภูเตติ มหันเตจะ
ตทาลัมภะ นมีริตัง สัตตะขัตตุง ประตานิ มัคคาภิญญา สกิงมตา อวเสนา นิรัพพันติ
ชวนานิ พหูนิปิ อเสขานัง จตุจัสตา ฬีสะเสขา นมุททิเส ฯลฯ
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห ฯลฯ
จตุตโถปริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
โอ้สัตว์ทั้งหลายเกิด เอากำเนิดมาเป็นคน ย่อมจะบันลุตน มลชีพทำลายราน…….
หรือสัตว์ที่ตายอยู่ อีกสัตว์ผู้ที่วายปราณ ก็ไม่ยืดไม่ยืนนาน เหมือนกันสิ้นบ่เว้นวาย….
แม้เราก็ฉันนั้น บ่ผิดผันหรือกลับกลาย เราคงจะต้องตาย ตามไปดุจพิมพ์เดียว…….
เออเราไม่สงสัย ไม่ตกใจแลหวาดเสียว เห็นแท้แน่ใจเจียว แลบ่มีที่สงกา……..
นี่แหละท่านทั้งหลาย ฟังบรรยายที่กล่าวมา จงเร่งพิจารณา เมื่อแจ้งแล้วบ่กลัวตาย…….
ปัญจโมปริเฉโท
วิถีจิตะ วเสเนวะ ปวัตติยะ มุทีโรโต ปวัตติสัง คโหนามะสฐิยนทา นิวุจจะติ
จตัตโสกุ มิโยนามะ ยัตถะสันธิ ปวัตตะติ อปายกา มสุคตโย รูปารูโป จภปิจะ
ปถุชชะนา นรับมันติ สุทธาวาเส ตุสัพพทา โสตาปะญนา จสะกิทา คามิโนจา
ปิปุคคะลา อริยาโน ปิลัมภันติ อสันยาปา ยภูมิสุ เสสัตถาเน สุรัพพันติ อริยานะ
ริยาปิวะ จตุภูมี วิภาเคนะ ปฏิสันธิ จตุปมิทา อปายิกา สังนะนามะ สุคะติมหิ
สยาปิจะ รูโปจรา ปฏิสันธิ อรูโปจะ รสันธิจะ ชายันตาปา ยภูมิสุข ปาปะปากะ
ยสันธิยา นิปุญญะปากา เหตุเกนะ ภูมัสสิตัพ พินิปปาตา กามะเทวะ มนุสานัง
ทุเหตุกะ ติเหตุนัง ฯลฯ
ความที่ได้เกิดยากนักหนา และตัวของเต่าตน แอกน้อยลอยล่องชล ใช่ว่าพ้นให้เกิดไป……
ประเภทสัตว์อุบัติตน ทั้งว่ายคลานบินเวหน สุดจะร่ำพรรณาเผ่าพันธุ์ พื้นสัตวาจะนับถ้วน-
ประมวลมี ได้แคล้วคลาดจากโรคี โดยยากจะรอดมา อีกได้ฟังคำพระ สัทธัมมะเทศนา…..
พบองค์พระสัมมา สัมพุทธอรหันต์ นานนับด้วยกัปป์กัลป์ จึงจะตรัสอุบัติมี…….
นี่แหละท่านทั้งหลาย ทั้งผู้ชายและนารี ฟังแล้วเร่งยินดี จงชื่นชมสมมนา……..
ที่ได้เกิดเป็นคน และรอดพ้นจากตายมา ได้ฟังเทศนา ของพระพุทธอรหันต์……..
เป็นลาภอันประเสริฐ แสนล้ำเลิศอนันต์ครัน อย่าหลงคิดสำคัญ ว่าเกิดง่ายหมายผิดครัน ฯลฯ….
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห ฯลฯ
ปัญจโม ปริจ เฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ฉัฏฐโมปริเฉโท
เอตาวตา วิภัตตานิ สัพปะเภทัพ ปิวัตติกา จิตตะเจตะ สิกาธัมมา รูปันทานิ ปะวุจจะติ
สมุทเธสา วิภาคาจะ สมุฏฐานา กลาปะโต ปวัตติตักกะ มโตเจติ ปัญจทาตัต ถสังคโห
ภูตัปปะสา ทวิสยา ภาโวหะทะ ยะมิจจะปิ ชีวิตาหา ระรูเปหิ อัตถารสะ วิธังตถา
ปริจเฉโท จะวิญญัตติ วิกาโลลัพ ขนันติจะ อนิพผันนา ทสะเจติ อัฏฐวีสะ วิทัมภเว
อิจเจวะมัต ฐวีสะติ วิธัมปิจะ วิจักขานา อัชฌัตติกา ทิเภเทนะ วิภัชชันติ ยถารหัง
อัฏฐารสะ ปัณณะระสะ เตระสังทวา ทสาปิจะ กัมมะจิตโต ตุกาหาระ ชานิโหนติ ยถากกะมัง
ชายะมานา ทิรูปานัง สภาตตา หิเกวรัง รักขนานิ นชายันติ เกหิจีติ ปกาสิตัง
กัมมะจิตโต ตุกาหาระ สมุฏฐานา ยถากกะมัง นวฉจะ ตุโลเทวติ กราปาเอ กวีสติ
กาลาปานัง ปริเฉทะ ลกขนัตตา วิจักขานา ฯลฯ
ยากมีฉันใด ชีวิตไซร้อุประมา ดุจนายโคปาลา จูงโคชักสู่หลักพลัน…….
ก้าวไปก็ใกล้ถึง ที่คำนึงจะอาสัญ นายโคคาดคอยฟัน ชีวิตม้วยด้วยอาญา…….
ด้วยเราทุกผู้คน ปฏิสนธิเกิดมา คืนวันอันชรา นำยาตรเยื้องเปลืองสิ้นไป……
มัตยุราชคือความตาย ดุจดาบร้ายคมเหลือใจ ห่อนเลือกว่าใครใคร
หนุ่มแก่เด็กและปานกลาง……. เชือดแหวะชำแหละจิต ให้ปลดปลิดชีวาวาง
ทอดทิ้งสรีร่าง ทุกถ้วนหน้าคณาชน ฯลฯ……..
สัตตโมปริเฉโท
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห
ฉฏธโม ปริจเฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
ทวาสัตติ วิธาวุตตา วุตถุธัมมา สลักขณา เตสันทานิ ยถารหัง ปวักขามิ สมุททยัง
อาสะโวคา จโยคาจะ ตโยครชา จวุตถุโต อุปาทานา ทุเวธัมมา อัฏฐนีวะ
รณาสิยุง เฉระวานุ สยาโหนติ นวะสัญญโญ ชนามตา
กิเลสาทะเส ติวุตโตยัง นวทาปา ปสังคโห ฉเหตุปัญ จชานังคา มัคคังคานะ
ววัตถุโต โสฬสสันทวี ยธัมมาจะ พระธัมมา นเวริตา
จัตตาโรธิ ปติวุตตา ตถาหารา ติสัทตะทา กุสะราธิ สมากินโน
วุตโตมิจสะ กสังคโห ฯลฯ
ชีวิตเป็นอยู่นั้น ส่วนของมันน้อยนักหนา เพราะเหตุความชรา เร่งเร้ารีบบีบคั้นกาย…….
จะร้องให้ใครช่วย ไม่ให้ม้วยชีวาวาย ญาติมิตรสิ้นทั้งหลาย อีกบิดรและมารดา…….
เมียมิ่งและบุตรรัก อยู่พร้อมพรักทั้งซ้ายขวา มรึตตะยูอาจจู่มา ปลดชีวิตให้ปลิดปลง…..
ดูก่อนท่านทั้งหลาย ที่มุ่งหมายตัดความตรง ให้เร่งคิดจิตจำนง สิ่งใดดีให้เร่งทำ……
ความดีคือบุญนั้น จะป้องกันช่วยแนะนำ ให้สบสุขเลิศล้ำ พ้นสิ่งชั่วไม่กลัวตาย……
อย่าฟังแต่สนุก คิดว่าสุขสบาย รื่นเริงบันเทิงกาย หัวเราะร่าเฮฮาครืน…….
ควรรู้สึกสำนึกตัว อย่าเมามัวคิดฝ่าฝืน ชีวีไม่ยั่งยืน ทุกถ้วนหน้าคณาชน ฯลฯ……..
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคโห
สัตตะโม ปริจเฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ……….
อัฏฐโมปริเฉโท
เยสังสังจะ ตธัมมานัง เยธัมมาปัจ จยายถา ตวิถาคะ มิเหพานิ ปวกุขามิ ยถารหัง
เทวะปติจจะ สมัปปาทะ ปัฏฐานนะ ยเภทิโน วตาตัตกะ นโหนติ เยปัจจะ ยสังคโห
ปฐเมหิ นเยตัตถะ เวทิยังอุ ปลักขานะ ติยัตธังทวา ทสังคานิ วิสาการัง ติสันทิจะ
จตุสังเข ปติวัตตัง เทวัมรานี ติสัตธา ติตถวิชา จสังขารา อตีคันทา ติวุจจะเร ฯลฯ
โลกคือเบญจขันธ์ ชรามันนำเข้าไป ใกล้ต่อความบัลลัย อนาถแท้บ่มั่นคง……..
โลกนะใช่ใหญ่ยิ่ง บ่มีสิ่งต้องประสงค์ จำต้องวายชีวง ของทั้งสิ้นละทิ้งไป…….
โลกนั้นมักพร่องอยู่ จึงไม่รู้เบื่อเบือนไป เพราะมันไม่เป็นไทย มันเป็นธาตุแห่งดับ……..
ควรท่านผู้เป็นปราชญ์ ผู้ฉลาดซึ่งปัญญา เร่งคิดพิจารณา ให้เห็นแท้เป็นแน่นอน…….
อย่าฟังแต่เสียงเพราะ และเสนาะด้วยคำกลอน จงฟังคำสอน แล้วตริตรึกระลึกตาม ฯลฯ…….
อิจจานุรุท ธระจิตเต อภิธัมมัต ถสังคเห
อัฏฐโม ปริจเฉโทยัง สมาเสเน วนิฏฐิโต ฯลฯ
สมากวี ปัสสะนานัง ภวนานะ มิโตปะรัง กัมมัตถานัง ปวักขามิ ทุวิธังปิ ยถากกะมัง
เยนะเยนู ปกะเลสา สมันติวู ปสมันติหิ โสตวูปะ สโมปาโย สะมะโถติ ปวุจจะติ
กสินาสุ ภานุสติ ทสทาทะ สธาฐตา จจัตโสอัป ปมันยาโย สันเยกาหา วนิสีตา
เอกันเจวะ วัตถานาปิ อารูปาจะ ตุโรอิติ สัตตะทาสะ มถะกัมมัต ถานัตสตา วสังคโห
ราโคโทโส จะโมโหจะ สัทธาอิตัก กพุทธิโย อิเมสังฉัน นังธัมมานัง วสาจาริ คสังคโห ฯลฯ
ความไม่เมาทั่วไป คือแจ้งในกองสังขาร ไม่เมาไม่ทะยาน ในรูปรสแลกลิ่นเสียง…..
เป็นทางบทจร สู่อมรนิเวศน์เวียง มัตยุราชหรืออาจเมียง และจะมองบ่แลเห็น…….
ความทั่วไปนั้น คือใฝ่ฝันทุกเช้าเย็น เมายิ่งในสิ่งเบ็ญ- จกามะคณารมณ์……..
เป็นทางจะก้าวสู่ มรึตตะยูประสบสม ความตายตามระดม ติดตามปรับชีวาวาย…….
นรชาติทั้งหลายใด ผู้มีใจเองเมามาย แม้ชีพบ่ทำลาย ประดุจม้วยซึ่งชีวี……..
นี่แหละท่านทั้งหลาย คณาชายหมู่สตรี ฟังแล้วจงได้มี กมลมุ่งกำหนดจำ……
………………..สังคหะ(สงเคราะห์)จบบริบูรณ์……………….
พระมาลัย(ท่องแดนนรก!!!)
พระมาลัย(ท่องแดนนรก!!)
ของโบราณบันทึกจากความทรงจำ
ของหลวงตาแสง วัดราษฎร์บำเพ็ญ จ.พระนครศรีอยุธยา
ปริเฉท 1
ในการอันลับล้น …… พ้นไปแล้วในครั้งก่อน…………
ภิกษุหนึ่งได้พระพร….. ชื่อพระมาลัยเทพเถร………..
อาศัยบ้านกำโพด……. ชนบทโรหเจน……….
อันเป็นบริเวณ…… ในแว่นแคว้นแดนลังกา……..
พระเถรนั้นเธอมีฤทธิ์….. ประสิทธิด้วยปัญญา……..
มีศีลครองสิกขา…….. ฌานะสมาบัติบริบูรณ์…….
สิ้นกิเลสประเสริฐศักดิ์…. สันโดษนักใครจักปูน…….
รู้หลักศรัทธาพูน…….. ใจละเอียดทรงพระธรรม์ ฯลฯ……
ปริเฉท 2
ปรากฏด้วยรู้หลัก……. มีฤทธิ์นักถึงอรหันต์……..
อุปมาเหมือนพระจันทร์….. อันปรากฏในเวหา……..
คราวนั้นเสด็จลงไป…….. ในนรกด้วยกรุณา……..
เพื่อจะให้เขาสั่งมา……. แล้วจะบอกแก่ญาติพลัน…….
พระโมคคัลลาน์ผู้สาวก…… โปรดนรกทุกทุกวัน……..
ครั้นแล้วโปรดชาวสวรรค์….. ด้วยพระธรรมอันฉับเฉียว……
พระมาลัยเทพเถร……. บ่แปลกกันดุจพิมพ์เดียว…….
รู้ธรรมอันฉลาดเฉลียว…… อานุภาพเหมือนคันนา ฯลฯ……
ปริเฉท 3
หญิงชายทั้งหลายใด…… ใจโลภล้นพ้นคณา………
ย่อมเบียดเบียนแลบีฑา…… ข่มเหงท่านให้ทรพล……..
ผู้นั้นครั้นไปล่ปลิด…….. สิ้นชีวิตจากเมืองคน……..
ตกนรก!! ไฟเผาตน……. เจ็บปวดร้าวใช่สามานย์……
พระโมคคัลลาน์เสด็จลงไป…. ให้ฝนตกเป็นท่อธาร…….
ให้ไฟดับบ่มีนาน……… สัตว์นรกก็เย็นใจ……….
พระมาลัยเทพเถร……. ท่านจึงเสด็จเหาะลงไป……
นิรมิตฝนให้ดับไฟ…….. โปรดนรกดุจเดียวกัน ฯลฯ……
ปริเฉท 4
ผู้ใดเป็นอุปถัมภ์……. ให้ข้าวน้ำแก่เจ้าไทยพลัน…….
ครั้นแล้วใช้เจ้าไทยนั้น……. ทำเรือกสวนและไร่นา……..
เป็นกำลังแก่เจ้าไทย……… ให้เจ้าไทยไปรำพา……..
ล่อลวงเอาทรัพย์เขามา……. เอามากินเป็นอาหาร…….
ให้ข้าวน้ำแก่เจ้าไทย…….. ใช้เจ้าไทยกระทำการ……..
ให้ทำกุฏิและวิหาร…….. แล้วก็กลับใช้เจ้าไทย……..
ใช้ชีมิจฉาจิต……… ให้เสียกิจพระวินัย………
ผู้นั้นครั้นตายไป……. ตกนรกโลห์กุมพี ฯลฯ……
ปริเฉท 5
หม้อเหล็กเคี่ยวตนอยู่……. ยืนเท่าถึงแปดหมื่นปี……..
บาปตนอันใช้ชี…….. ให้กินแล้วและใช้สงฆ์…….
เจ้าไทยทำผิดกิจ…….. ตนไปช่วยเอาใจปลง……..
ครั้นสิ้นชีวิตไปตกลง…….. ในหม้อเหล็กแปดหมื่นปี…….
พระมาลัยเทพเถร…….. ท่านจึงเสด็จไปทุบตี…….
หม้อเหล็กแหลกเป็นธุลี…… สัตว์ในนั้นก็ชื่นบาน…….
พระมาลัยไปโปรดสัตว์……. ดุจดังองค์โมคคัลลาน……
ในนรกเย็นสำราญ…….. พ้นจากบาปเพียงปางตาย ฯลฯ……
ปริเฉท 6
พระมาลัยเธอยังอยู่……. หม้อเหล็กนั้นแตกย่อยหาย…….
ครั้นท่านขึ้นมา……. หม้อเหล็กอันพลัดพราย…….
คุมเข้าเป็นดวงกลม…….. ต้มสัตว์ไว้ร้อนหนักหนา……..
เพราะบาปใช้ชีนา…….. ให้เสียกิจพระวินัย……..
ให้ทานให้เป็นบุญ…….. อย่าได้ใช้สอยเจ้าไทย…….
ผู้ใช้นั้นจะตกไป…….. ในหม้อเหล็กต้มเปื่อยพัง !!…….
ผู้ใดเลี้ยงเจ้าไทย……. ให้ข้าวน้ำเป็นกำลัง…….
ครั้นแล้วเมื่อภายหลัง……. ใช้เจ้าไทยให้ทำการ ฯลฯ……
ปริเฉท 7
ว่ายอยู่ในหม้อเหล็ก……. อันเดือดร้อนพุ่งขึ้นพล่าน……
บาปใช้ชีให้ทำการ…….. หม้อเหล็กเคี่ยวเปื่อยทั้งตน…….
ร้อนแสบเจ็บปวดยาก…… ทนวิบากอดักอดล…….
น้ำเข้าปากจมูกตน…….. ดิ้นระเด่าเพียงปางตาย…….
ผู้ใดตีพ่อแม่……… ปู่ย่าแก่และตายาย……..
ตีด่าสงฆ์ทั้งหลาย……. ตีภิกษุและเจ้าเณร……..
ผู้นั้นครั้นตายไป…….. ด้วยบาปกรรมและนายเวร……..
บาปตีแม่ตีเจ้าเณร…….. ให้ล้มลุกเป็นนิรันดร์……..
กงจักรพัดหัวอยู่……… สิ้นพุทธันดรกัลป์…….
เพราะบาปใจอาธรรม์……. ตีพ่อแม่และตีสงฆ์ ฯลฯ…….
ปริเฉท 8
กงจักรพัดหัวอยู่…….. เลือดไหลซาบอาบตนลง……..
บาปตีแม่และตีสงฆ์…….. กงจักรพัดร้องครางตาย…….
เลือดไหลลงหยัดหยด……. กงจักรกรดพัดบ่วาย……..
เร่งร้องเร่งครางตาย……. กงจักรกรดเร่งพัดผัน…….
ตีนมือสั่นระเริ่ม……. ตัวสั่นเทิ้มอยู่งกงัน…….
ยืนตรงอยู่ทุกวัน……… เหนื่อยลำบากยากนักหนา…….
พระมาลัยผู้เป็นเจ้า……. ท่านจึงเสด็จลงไปหา…….
หักกงจักรด้วยฤทธา……. สัตว์ผู้นั้นสร่างทุกข์ทน ฯลฯ……..
ปริเฉท 9
ครั้นท่านเสด็จขึ้นมา……. กงจักรเข้าบัดเดียวดล………
กงจักรพัดเป็นผล…… เพราะบาปตีแม่และตีสงฆ์……
ผู้ใดแลสับปรับ……. บังคับความมิเที่ยงตรง…….
ใจอธรรมบ่มิดำรงค์……. ทั้งสองข้างอันผูกกรรม…….
ได้สินจ้างยกชูไว้………. ที่มิได้ให้ตกต่ำ……..
บังคับความมิเที่ยงธรรม…… กงจักรพัดอยู่ทุกข์ทน ฯลฯ……
ปริเฉท 10
เลือดไหลออกซับซาบ……. อาบเลือดอยู่ทั่วทั้งตน………
เลือดพุออกทุกเส้นขน……. เพราะบังคับความมิเที่ยงธรรม์……
เลือดนั้นเน่าเป็นหนอง……. เนื้อพุพองทั้งตัวนั้น……..
เพราะบังคับความมิเที่ยงธรรม์….กินเนื้อเน่าหนองตนเอง……..
กงจักรพัดหัวไว้…….. อดมิได้ร้องครางเครง…….
บังคับความลำเอียงเอง……. กงจักรกรดพัดในหัว……..
มิแพ้จำให้แพ้……… คุกคำรามข่มให้กลัว…….
กงจักรพัดในหัว…….. เพราะบังคับความมิเที่ยงธรรม์ ฯลฯ…..
ปริเฉท 11
กงจักรพัดหัวไว้……….. สิ้นพุทธันดรกัลป์………
มีตัวตีนมือสั่น……….. อยู่ระเริมยืนมิตรง………
เมื่อได้กึ่งกำเนิด…….. พระเจ้าเกิดแต่ละองค์…….
บังคับความมิเที่ยงตรง……. คราทีนั้นจึงจะหาย……..
พระมาลัยเสด็จลงไป…….. หักกงจักรกระจัดกระจาย…….
กงจักรหักพลัดพราย……. สัตว์ผู้นั้นก็ยินดี……….
เมื่อท่านเสด็จขึ้นไป…….. กงจักรไซร้ก็พูนมี…….
ครอบเข้ารอบเกศี……… สัตว์ผู้นั้นทนทุกขา ฯลฯ…….
ปริเฉท 12
ผู้ใดใครทั้งหลาย……. เป็นผู้ชายอันโสภา………
มักมากด้วยตัณหา…….. อันโลภล้นพ้นประมาณ……..
เมียท่านหน้าแช่มช้อย…… หน้าแน่งน้อยนางนงคราญ…….
ใจร้ายไปเบียนผลาญ…….. ยุยงเอาด้วยเล่ห์กล……..
ผู้นั้นครั้นไปล่ปลิด…….. สิ้นชีวิตจากเมืองคน……..
ไปขึ้นงิ้วบัดเดียวดล……. ในไม้งิ้วกว่าพันปี……..
หนามงิ้วคมยิ่งกรด…….. โดยโสฬสสิบหกองคุลี…….
มักเมียท่านมันว่าดี……. หนามงิ้วยอกทั่วทั้งตน ฯลฯ…….
ปริเฉท 13
หญิงใดใจมักมาก…….. มักเล่นราคด้วยเล่ห์กล……..
ทำยาแฝดแล้วเรียนมนต์…… ให้ผัวตนเมาตัณหา……
พรางผัวมิให้รู้…….. ลักเล่นชู้เสพกามา…….
แต่งตนงามโสภา…….. เพื่อจะให้ชายอื่นดู……..
ต่อหน้าผัวทำเป็นมิตร……. ลับหลังคิดเป็นศัตรู……..
แต่งแง่ให้ชายอื่นดู…….. ลักเล่นชู้ซ่อนเงื่อนงำ ฯลฯ……
ปริเฉท 14
ทำรักแล้วทำโกรธกริ้ว…… ชักหน้านิ่วให้ผัวยำ…….
แสร้งให้แสร้งทำ……… ทำกลหกพกมารยา…….
หญิงนั้นครั้นวอดวาย…… หายชีวิตจากโลกา………
ขึ้นงิ้วยมพบาลมา……. รุมเอาหอกไล่ทิ่มแทง……
ผูกแขนเอาหัวลง…….. เพราะหญิงนั้นใจมันแข็ง…….
ยมพบาลเอาหอกแทง…… บาปใจแข็งเล่นชู้เหนือผัว…….
ต่อว่าต่อตัดพ้อ……… บ่มีย่อท้อบ่มียำกลัว…….
งอหมัดขึ้นเหนือหัว…….. ยืนสูงฉะเงื้อมเหนือเกศา……..
ทำเคียดอยู่งันงก…….. ทำกลหกพกมารยา……..
แปรปรวนผวนไปมา……. ให้ผัวลุอำนาจตน ฯลฯ…..
ปริเฉท 15
ยมพบาลเอาหอกแทง…… บาปเจ้าใจแข็งเล่นแสนกล……
ทำยาแฝดแลเรียนมนต์…… เขาจึงผูกเอาหัวลง……..
เขาจึงเอาหอกร้อยปาก……. เพราะบาปมากมิซื่อตรง…….
เอาหอกปักอกลง……… เพราะใจร้ายซ่อนหลายใจ……..
พระมาลัยเทพเถร……… ท่านจึงเสด็จลงไป……..
หักไม้งิ้วตระหมดใจ…….. สัตว์ผู้นั้นสร่างทุกข์ทน……..
ครั้นท่านเสด็จขึ้นไป…….. ไม้งิ้วงอกบัดเดียวดล…….
ผู้รักเล่นกามกล………. ขึ้นงิ้วเล่าดุจหลังมา ฯลฯ……
ปริเฉท 16
ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่……… เป็นนายไร่และนายนา…….
ข่มเหงฝูงประชา…….. ผู้บุญน้อยให้อับเฉา……..
วัดไร่นาให้ล้ำเหลือ……. เจ้าอำเภอข่มเหงเอา……
บ่เอาแต่ย่อมเยา……. ผิดระบอบพระบัญชา…….
ผู้นั้นครั้นตายไป…….. พิราลัยจากโลกา……..
บาปข่มเหงฝูงประชา……. แผ่นดินนั้นกลับเป็นไฟ…….
แผ่นดินเป็นแผ่นเหล็ก……. ลุกวูวาบร้อนเหลือใจ……..
ไหม้เข้าถึงตับไต………. ไส้พุงขาดเรี่ยออกมา………
สัตว์นั้นดิ้นทนอยู่…….. ในไฟวู่ร้อนหนักหนา………
บาปนายไร่และนายนา……. เอาทรัพย์เขาให้ล้ำเหลือ……..
บาปตนข่มเหงเขา……… ตนเป็นเจ้านายอำเภอ…….
เอาทรัพย์ให้ล้ำเหลือ……. แผ่นเหล็กไหม้ร้อนอาดูร……..
สัตว์นั้นร้อนเป็นบ้า……… ลุกบ่ายหน้ายังฝ่ายบูรพ์……..
ภูเขาหนึ่งเป็นไฟพูน…….. ฝ่าข้างบูรพ์ก็วางมา…….
สัตว์นั้นกลัวภูเขาไฟ…….. กลับหลังไปมิหันมา…….
ภูเขาหนึ่งจึงเกิดมา…….. ฝ่ายข้างทิศตะวันเย็น ฯลฯ…..
ปริเฉท 17
สัตว์นั้นทอดตาไป……. เหลียวแต่ไกลก็แลเห็น……..
ภูเขาหนึ่งเกิดขึ้นเป็น…….. ถ่านไฟร้อนเรืองขจร………
สัตว์นั้นก็ลุกแล่น…….. บ่ายหน้ามายังอุดร……..
ภูเขาไหม้รุกร้อน……… รุกเรืองขึ้นมาเร็วฉิบ…….
สัตว์นั้นตลบแล่น……… บ่ายหน้ามายังทักษิณ……
ภูเขาไฟชำแรกดิน……… ผุดขึ้นแล้วก็วางมา…….
ภูเขาทั้งสี่ทิศ……… ย่อมล้วนไฟร้อนนักหนา……..
แผ่นดินนรกนั้นมา…….. ทั้งนั้นเล่าย่อมล้วนไฟ………
สัตว์นั้นร้อนผะผ่าว…….. ดิ้นระด่าวในกลางไฟ………
บาปนายนาและนายไร่……. วัดไร่นาให้ล้ำเหลือ……..
ว่าตนผู้เป็นใหญ่……… เป็นนายไร่เจ้าอำเภอ…….
เอาทรัพย์เขาให้ล้ำเหลือ…… ภูเขาไฟเผาเป็นธุลี ฯลฯ……..
ปริเฉท 18
ธรรมนี้ท่านผู้ปราชญ์…….. อันฉลาดชื่อเมธี………
นำเอามาแต่คำภีร์…….. ชื่อขุททกนิกาย………
บอกไว้ให้เป็นผล…….. เป็นกุศลแก่หญิงชาย…….
สัปปุรุษท่านทั้งหลาย……. ฟังจำไว้สั่งสอนใจ ฯลฯ……
ปริเฉท 19
เมื่อนั้นมหาเถร………. อันมีนามชื่อมาลัย………
ท่านเสด็จเหาะลงไป…….. ดับไฟนรกด้วยฤทธิ์ผล………
ครั้นท่านเสด็จขึ้นมา…….. ภูเขาเกิดบัดเดียวดล………
สัตว์นั้นดิ้นเสือกสน………. ทนลำบากกลางไฟเผา !!…….
สัตว์หนึ่งใจหฤโหด…….. ใจเขลาโฉดกินแต่น้ำเมา……..
บ่มิได้จะจำเอา………. ธรรมพระเจ้าสั่งสอนใจ………
ยมพบาลเอาน้ำแสบ…….. อันเคี่ยวพล่านในกลางไฟ…….
เทลงตระบัดใจ……… ในปากนั้นปากเปื่อยพัง ฯลฯ…….
ปริเฉท 20
น้ำแสบตกถึงคอ……… คอไหม้พองเป็นมัญญัง…….
ถึงอกเปื่อยพัง……… เป็นรูทะลุปรุออกมา……..
บาปเมื่ออยู่เป็นคน…….. ได้กินเหล้าเมาสุรา……..
อกทะลุปรุออกมา…….. บาปกินเหล้าเมามาย…….
น้ำแสบตกถึงไส้…….. ไส้นั้นขาดกระจัดกระจาย……..
ตับพุงเปื่อยทะลาย…….. บาปกินเหล้าสูบกัญชา……..
เมื่อนั้นพระมาลัย………. ท่านจึงเสด็จลงไปหา……..
เข้าฌานแผลงฤทธา…….. ให้น้ำแสบกลับเย็นหวาน ฯลฯ……
ปริเฉท 21
สัตว์นั้นได้กินน้ำ…….. ดังอมฤตนิพพาน……….
น้ำแสบกลับเย็นหวาน……. ด้วยใบบุญพระมาลัย……..
ครั้นท่านเสด็จขึ้นมา…….. มิทันช้าบัดเดี๋ยวใจ………
น้ำเย็นอันหวานไซร้……… กลับแสบร้อนดังก่อนมา ฯลฯ…….
ปริเฉท 22
สัตว์นรกสั่งฉันใด……… พระมาลัยเลิศปรีชา……..
จึงบอกแก่ญาติกา…….. อันเขาอยู่ในเมืองคน……..
ให้ตนจำศีลสร้าง…….. ให้ทานบ้างทำกุศล………
ฟังธรรมอุทิศผล…….. บุญไปถึงแก่ญาติกา……..
พระมาลัยผู้ปรากฏ……… อันพระยศทั่วทิศา………
ดุจองค์พระโมคคัลลาน์……. ผู้ปรากฏทั่วแดนไตร………
พระโมคคัลลาน์ญาณ……… เข้านิพพานแล้วดับไป………
ยังแต่พระมาลัย……… ยังอยู่นั่นสนององค์มา……….
พระมาลัยเธอมีคุณ……. แก่นรกและเปตา……..
มีคุณแก่เทพา……… และมนุษย์ทั่วอนันต์………
เปรตนรกสั่งชื่อได้……… พระมาลัยนำมาพลัน……….
บอกแก่ญาติเขาทุกอัน…….. ให้เขาทำบุญส่งมา ฯลฯ……
ปริเฉท 23
ยังมีเปรตหนึ่ง……… ลำบากหนักหนา…….
เป็นเหยื่อแร้งกา…… ฝูงสัตว์อยู่รุม……..
สุนัขใหญ่น้อย…….. พลอยกัดกินกลุ้ม…….
แร้งกานกตะกรุม……. รุมจิกสับเอา……..
เนื้อมันหมดสิ้น…….. ยังแต่โครงเปล่า……
จิกสับเฉี่ยวเอา…….. ร้องครางเสียงแข็ง……..
แร้งกานกตะกรุม…….. รุมจิกด้วยแรง………
จิกทิ้งกวัดแกว่ง………. ยื้อแย่งไปมา………
มันเฉี่ยวเปรตนั้น……… ไปสู่เวหา………
จิกเยื้อไปมา……….. ในกลางเวหน……..
ฝูงเปรตหมู่นี้…….. เมื่อยังเป็นคน………
ฆ่าสัตว์เลี้ยงคน…….. มิได้อดสู……..
ฆ่าเนื้อวัวควาย……… บ่มิได้เอ็นดู…….
แทงสัตว์ไห้อยู่………. ดิ้นล้มดิ้นตาย…….
ฆ่าทรายและเนื้อ……… ทั้งวัวและควาย…….
ฆ่าสัตว์ทั้งหลาย………. แต่ล้วนสี่ตีน……..
บาปตนเข้าเนื้อ……… วัวควายเป็นอาจิณ……..
แร้งกาจิกกิน…….. รุมกันยื้อเอา ฯลฯ………
ปริเฉท 24
บาปตนเชือดเนื้อ…….. เหลือแต่โครงเปล่า…….
แร้งกาจิกเอา………… เนื้อตนนั้นไป…….
บาปตนฆ่าสัตว์……… เจ็บปวดฉันใด……..
แร้งกาเฉี่ยวไป…….. ทนเจ็บคนเดียว……..
เจ็บปวดเหลือทน……… แต่ตนอยู่เปลี่ยว……..
ร้องครางคนเดียว……… ทนเวทนา……..
บาปฆ่าซึ่งสัตว์……… ให้มรณา……..
นกตะกรุมแร้งกา……. จิกทิ้งเนื้อตน……..
ยังมีเปรตหนึ่ง……. เจ็บปวดเหลือทน…….
เส้นขนทั้งตน…….. เป็นดาบเชือดลง…….
ขนนั้นงอกออก…….. มาเต็มทั้งองค์……..
เป็นดาบเชือดลง……. ทั่วทั้งสรรพางค์…..
ทนเจ็บบ่มิได้………. ร้องอืดครวญคราง…….
แร้งกาจิกพลาง…….. พาไปเวหา……..
ร้องครางอืดอืด……… ทนเวทนา……..
เจ็บปวดนักหนา……… เพียงจะสิ้นชนม์ ฯลฯ……
ปริเฉท 25
ฝูงเปรตหมู่นี้…….. เมื่ออยู่เป็นคน……….
ใจร้ายอกุศล……… ย่อมฆ่าหมูขาย………
ขนเป็นหอกดาบ…….. เพราะบาปบ่มิอาย…….
บาปฆ่าหมูขาย…….. เลี้ยงลูกเมียตน………
จะตกนรก…….. มันเท่าเส้นขน………
แต่ละเส้นละหน…….. นับชาติละที………
ยังมีเปรตหนึ่ง….. ทั้งตัวย่อมขน…….
รูปนั้นพิกล……. ขนมันเป็นปืน……..
ปืนนั้นยอกเข้า….. ทั่วตัวใฝ่ฝืน……..
. ทั้งตัวย่อมปืน……. ยอกเข้าเสือกสน…….
เจ็บแสบปวดนั้น….. ร้องครางอดักอดล……
แร้งกาจิกตน……. พาไปเวหา…….
ปืนยอกปากหู……. จมูกและตา……..
เลือดไหลออกมา…… โทรมทั่วทั้งตน ฯลฯ…….
ปริเฉท 26
ฝูงเปรตหมู่นี้…….. เมื่ออยู่เป็นคน………..
ใจร้ายอกุศล…….. ย่อมยิงนกกิน……….
บาปตนยิงนก…… ในโลกแดนดิน……..
ขนเป็นปืนสิ้น……. ยอกทั่วทั้งองค์……..
ยังมีเปรตหนึ่ง…… ขนยอกตนลง…….
ทั่วสรรพางค์องค์……. เจ็บปวดหนักหนา…….
ขนเข็มยอกเข้า….. ไปในเกศา………
ตลอดออกมา…….. โดยปากแห่งตน…….
ขนเข็มยอกปาก…… มักมากเหลือทน…….
ปลายเส้นเข็มขน…… งอกออกท้องพลัน……..
บาปมันส่อทัน……. จะเอารางวัล……..
ให้เขาเกาะกัน……. ได้ยากนักหนา…….
ขนเข็มยอกเข้า……. ไปในต้นขา……..
ทะลุออกมา………. โดยแข้งแห่งตน……..
ยอกเข้าในแข้ง……. เจ็บปวดเหลือทน…….
ปลายเส้นเข็มขน……. ออกมาฝ่าตีน !! ฯลฯ…….
ปริเฉท 27
เลื้อยลงจมดิน……… ดุจดังถุงย่าม………
เน่าเปื่อยลามปาม….. เหม็นโขงพึงชัง………
เมื่อจะเดินไป…… แบกขึ้นบนหลัง………
แล่นระเสิดระสัง…… โซเซไปมา…….
ครั้นเมื่อจะนั่ง……. มันดันหว่างขา…….
จึงฝืนขี้นมา……. นั่งทับมันลง………
ขยับจะนั่ง……… ปวดนักโก้งโค้ง……..
จึงค่อยโขย่ง…….. ลุกขึ้นโอ้เอ้ ฯลฯ……..
ปริเฉท 28
จึงแบกขึ้นบ่า…….. พาแล่นโซเซ…….
หนักนักโอ้เอ้……… สุดสิ้นถอยแรง…….
แร้งกานกตะกรุม…… จิกสับยื้อแย่ง………
พาบินด้วยแรง…….. ไปสู่เวหา………
ร้องครางอืดอืด…….. เจ็บปวดนักหนา………
ทนเวทนา…….. อดักอดล ฯลฯ……..
ปริเฉท 29
เป็นปมเป็นเปา…….. เป็นคอพอกใหญ่………
เป็นเหนียงเป็นไต…… เป็นหูดเป็นฝี………
ยังมีเปรตหนึ่ง…….. เป็นหญิงอัปรีย์……..
ทั้งตนย่อมฝี……… เน่าเปื่อยระสาย……..
เล็บตีนเล็บมือ……. เน่ามิรู้หาย………
ฝีหนึ่งหัวกลาย…….. เหม็นอยู่อาจิณ……..
หญิงนั้นจึงแกะ…….. เกล็ดฝีนั้นกิน……..
ทุกวันประฏิทิน…… ค่ำเช้าเพลางาย…….
เร่งแกะฝีกิน…….. ฝีนั้นเร่งกลาย……..
เน่าเปื่อยมิรู้หาย…… หนองโทรมทั้งตน……..
แร้งกานกตะกรุม……. จิกสับสาระวน…….
พาบินขึ้นบน…….. ไปในเวหา……….
สับปากจมูก……… จิกหูตอดตา………
นกตะกรุมแร้งกา……. ยื้อแย่งเรี่ยราย……..
ร้องครางอืดอืด……… ดิ้นล้มดิ้นตาย……..
ตนสั่นระทาย………. ระทดทั้งตน……..
ตีนสั่นมือสั่น……… หูตามืดมน……….
เจ็บปวดทั้งตน…….. พ้นที่คณา……
หูเน่าปากเน่า……… เหม็นโขงหนักหนา……..
จมูกดวงตา……… เน่าเปื่อยทรุดโทรม………
เปื่อยพังทั้งตน……. บ่มิเป็นรูปโฉม……….
ทั้งตนทรุดโทรม……. เจ็บปวดเหลือใจ……..
บาปหญิงหมู่นี้……… เมื่อชาติก่อนไกล…….
เขาอัญเชิญไป………. ให้ลงผีดู……….
มันลงผีเท็จ……… มันย่อมว่ากู……..
กูพ่อแม่สู……… กูเป็นตายาย……..
กูนี้เผ่าพันธุ์……… แห่งสูทั้งหลาย…….
กูจะให้สูหาย………. สูอย่าร้อนใจ……….
สูเร่งบนหมู……….. บนเป็ดบนไก่……..
วัวควายตัวใหญ่ใหญ่…… สูเร่งบนบาน………
เอาเงินผูกหม้อ……… ธูปเทียนนมัสการ………
หมากพลูใส่พาน……. เหล้าเข้มบนพลาง…….
ขวัญเนื้อข้าวปลา……. มีหัวมีหาง………
กูจึงจะละวาง………. ให้สูเป็นคน……..
แสร้งลงผีเท็จ………. มันแกล้งใส่กล……….
แสร้งล่อลวงคน…….. ให้เขาเชื่อใจ ฯลฯ……..
ปริเฉท 30
บาปบาปมดเท็จ………. ให้ฆ่าเป็ดไก่………
เล็บตีนเน่าใน……. มือเน่าพิกล……….
บาปบาปมดเท็จ……. ว่าร้ายแก่ผี……….
จมูกเป็นฝี……… หูเน่าเป็นหนอง………
บาปบาปมดเท็จ……. ทั้งตัวพุพอง……….
เลือดเน่ากุกอง………. กลัดหนองเป็นฝี……..
บาปลงผีเท็จ……… ให้เขาดูดี…….
ทั้งตัวย่อมฝี……….. แกะฝีกินเอง……….
บาปบาปมดเท็จ……… เชื่อมันครื้นเครง……
กินเนื้อเน่าเอง……….. กินฝีแห่งตน……..
บาปบาปมดเท็จ…….. กล่าวเท็จให้ฉงน………
กินเกล็ดฝีตน…….. กินหนองทุกวัน……….
บาปบาปมดเท็จ……. ลวงให้กระทำการ…….
เป็นเปรตยืนนาน……. ยิ่งกว่าพันปี……….
บาปบาปมดเท็จ…….. ให้เขาไหว้ผี……….
เป็นเปรตบ่มิดี……….. เปื่อยพังทั้งตน……..
บาปบาปมดเท็จ……… ย่อมว่าเย้ายั่ว……..
เน่าเปื่อยทั้งตัว………. เพราะตนอาธรรม์……..
บาปบาปมดเท็จ……… ทำตีนมือสั่น…….
เป็นเปรตฉกรรจ์……… เหม็นเน่าทั้งตัว……..
บาปบาปมดเท็จ……… ว่าให้เขากลัว………..
ตนสั่นระรัว………. ระเริมงกงัน………
บาปบาปมดเท็จ…….. ว่าเท็จผิดธรรม์…….
เป็นเปรตตัวมัน………. ยิ่งกว่าไฟลน………
บาปบาปมดเท็จ……… ให้เขาขอมนต์……..
เป็นเปรตปวดตน…….. ยิ่งกว่าแทงลง…….
บาปบาปมดเท็จ……… ว่าให้เขาหลง………
เป็นเปรตสอนทรง……. บ่มิพบพระเลย……..
บาปบาปมดเท็จ…….. ไหว้ผีชมเชย………
เป็นเปรตบ่เสบย…….. เป็นเปรตอสุรกาย ฯลฯ……
ปริเฉท 31
ผู้เชื่อแม่มด………. เอาบาปเป็นนาย……….
หัวเป็นหัวควาย……. ตัวเป็นตัวคน……….
ผู้เชื่อแม่มด……… ทิฏฐิว่ามงคล………
ตัวเป็นตัวคน…….. หัวเป็นหัววัว………
ผู้เชื่อแม่มด………. ว่าให้เขากลัว……..
ตัวเป็นตัววัว……… หัวเป็นหัวทราย…….
ผู้เชื่อแม่มด……….. ย่อมว่าถอยหาย……..
ตัวเป็นตัวทราย…….. หัวเป็นหัวคน……..
ผู้เชื่อแม่มด………. ย่อมว่าบานบน…….
ตัวเป็นตัวคน…….. หัวเป็นหัวหมัน……..
ผู้เชื่อแม่มด……… นอนมดเอาขวัญ…….
ตัวเป็นตัวหมัน……. หัวเป็นหัวคน……..
ผู้เชื่อแม่มด………. และไหว้วอนบน………
ตัวเป็นตัวคน……… หัวเป็นแร้งกา……..
ผู้เชื่อแม่มด………. ย่อมเสพเหล้ายา…….
ตัวเป็นแร้งกา…….. หัวเป็นหัวคน ฯลฯ……..
ปริเฉท 32
ผู้เปรตหมู่นี้……… เมื่ออยู่เป็นคน………
เป็นนายครองพล……. เป็นเจ้าบ้านเมือง……….
ย่อมบังคับความ…….. ให้เขาแค้นเคือง……….
เป็นนายบ้านเมือง…….. ว่าความบ่มิตรง……….
ผู้ใดไร้ทรัพย์……… เร่งข่มมันลง……….
บังคับความบ่มิตรง……. เป็นคนลำเอียง………
เห็นแก่อามิส……… คิดอ่านรายเรียง……….
แต่งปากแต่งเสียง……. งุบงับคับเสียง………
ผู้ที่มีทรัพย์………. กลับเกลื่อนไกล่เกลี่ย…….
บรรดาจะเสีย…….. ให้ได้สินไหม……….
ผู้ใดเข็ญใจ………. บ่มิให้อันใด………
ผิดชอบกลใจ……… บ่มิได้ถามเลย………
บ่มิถามความโจทก์……. บ่มิถามจำเลย……..
บ่มิได้เปิดเผย……… คำเขาทั้งสอง………
บ่มิตามระบอบ…….. บ่มิตามทำนอง……..
คำเขาทั้งสอง……… บ่มิได้นำพา ฯลฯ……….
บทส่งท้าย(ของโบราณ)
โอ้โอ๋แสนสงสารท่านผู้ตาย……มาวางวายปล่อยปละละสังขาร์…….
เข้าตราสังแสนทุเรศเวทนา…….. มือคาขาทั้งสามบ่วงดูรุงรัง……
ถ้าพูดได้เขาจะบอกว่าเจ็บขัด……. อย่าผูกมัดฉันเลยหนาอย่าตราสัง!!….
เลือดคงแห้งเส้นคงหดหมดกำลัง…… เพราะมรณังพูดไม่ได้หนอกายเรา……
สิ้นสนุกสุขสบายกันครานี้……… ต้องเป็นผีให้เขาหามไปเผา……..
ขึ้นจนอืดขึ้นจนพองเป็นหนองเน่า…… พรุ่งนี้เช้าก็ต้องจรจากเรือนตน……
ผู้อยู่หลังก็จะตั้งแต่เศร้าโศก…….. ต้องวิปโยคทุกเช้าเย็นกระเสือกกระสน….
ลูกพลัดแม่พ่อพลัดลูกทุกตัวตน…….. ต้องวายชนม์ชีพสลายตายจากกัน……
โอ้อาลัยใจห่วงเสียวดวงจิต……… อาวรณ์คิดนิจจาแทบอาสัญ……..
พูดไม่ออกบอกไม่ได้ต้องไกลกัน…… นับแต่วันชีวิตดับไม่กลับมา…….
ถ้าพูดได้เขาจะบอกว่าแม่คุณ……. ช่วยทำบุญแล้วส่งไปให้บ้างหนา…….
ให้ใส่บาตรทุกเช้าทั้งข้าวปลา……. อีกเงินตราถวายพระอย่าละเลย……..
ฉันมาสวดยังพลอยเศร้าไห้…….. อดคิดถึงมิได้เจียวโยมเอ๋ย…….
ช่างมาลาโลกไปกระไรเลย……. โธ่ชีวิตของเราเอ๋ยไม่จีรัง………
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
พระมาลัยบทสวดสังคหะแปล(อินทรวิเชียรฉันท์)พระมาลัย: บทสวดมนต์พระมาลัย
พระมาลัยบทสวดสังคหะแปล(อินทรวิเชียรฉันท์)พระมาลัย: บทสวดมนต์พระมาลัย: พระมาลัยเป็นเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหลแต่งขึ้น เพื่อให้รู้ความเป็นมา เมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ เศษ กล่าวถึง พระอรหันต์ องค์หนึ่งซึ่งมากด้วย ...
วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
บทสวดมนต์พระมาลัย
พระมาลัยเป็นเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหลแต่งขึ้น เพื่อให้รู้ความเป็นมา
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ เศษ กล่าวถึง พระอรหันต์
องค์หนึ่งซึ่งมากด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา กมลจิตสงบจากกิเลส
ที่มีนามว่าพระมาลัยเทวเถระ
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ เศษ กล่าวถึง พระอรหันต์
องค์หนึ่งซึ่งมากด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา กมลจิตสงบจากกิเลส
ที่มีนามว่าพระมาลัยเทวเถระ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
